แปลภาษา

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สิทธิในการรับมรดก


         มรดก  คือ  ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย  เช่น  ที่ดิน  บ้าน  รถยนต์  เครื่องเพชรเงินในธนาคาร  ตลอดจนสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ  เช่น  ภาระจำยอม  สิทธิจำนอง  สิทธิในเครื่องหมายการค้าสิทธิเรียกร้องต่างๆ เช่น  สิทธิเรียกร้องในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืม  เว้นแต่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้  เช่น  สิทธิตามสัญญาเช่า  กรณีผู้เช่าตาย  ถือว่าสัญญาเช่าย่อมระงับสิ้นสุดลง
         ที่สำคัญทรัพย์สินที่จะเป็นมรดกได้นั้น  ต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตายด้วย  ดังนั้น  เงินบำนาญซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตาย  จึงไม่เป็นมรดกตามกฎหมาย
          มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด
         มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายอาจจะเป็นการตายโดยเสียชีวิต  หรือตายโดยผลของกฎหมาย  คือ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญก็ได้  กองมรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย  เรียกว่า  ทายาทโดยธรรม  มี 6 ลำดับ  ดังนี้
          ใครมีสิทธิรับมรดก
          ผู้สืบสันดาน  ได้แก่  ลูกหลาน  เหลน  ลื้อ
          บิดามารดา
          พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
          พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
          ปู่  ย่า  ตา  ยาย
          ลุง  ป้า  น้า  อา
          คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และยังมีชีวิตอยู่  ถือเป็นทายาทโดยธรรมด้วย
         หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดไว้  มรดกย่อมตกทอดแก่ผู้นั้น  เรียกว่า  ผู้รับพินัยกรรม
          การแบ่งมรดกของทายาทโดยธรรม  ในลำดับและชั้นต่างๆ
         1.  ถ้าเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมในลำดับชั้นต่าง ๆ หลายชั้น  ผู้มีสิทธิรับมรดก  ได้แก่  ทายาทโดยธรรมในลำดับต้น  ส่วนทายาทลำดับรองลงมาไม่มีสิทธิรับมรดก  ยกเว้น  กรณีผู้ตายมีทายาทโดยธรรมทั้งลำดับที่ 1  และ 2  (ผู้สืบสันดานและบิดามารดา) กฎหมายบัญญัติให้บิดาและมารดามีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย
          ตัวอย่าง  นาย ก  ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมมีเงินอยู่ก่อนตาย  จำนวน  40,000  บาท  มีบุตร  2  คน  คือ  นายเขียว  และนายขาว  และบิดามารดาของนาย  ก  ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองคน  คือ  นายสีและนางสม  และยังมีปู่  ย่า  ตา  ยาย  และลุง  ป้า  น้า  อา  ด้วย  ผู้มีสิทธิรับมรดกจำนวน  40,000  บาท  ของนาย  ก  ได้แก่  นายเขียวกับนายขาว  ในฐานะทายาทลำดับที่  1  และนายสีกับนางสมในฐานะทายาทลำดับที่  2  ซึ่งมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตร  เป็นจำนวนเงินคนละ  10,000  บาท  ส่วนปู่  ย่า  ตา  ยาย  และลุง  ป้า  น้า  อา  นั้น  เป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่  5  และ  6  ซึ่งอยู่ลำดับหลังจึงไม่มีสิทธิได้รับมรดก
          2.  กรณีผู้ตายมีคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และยังมีชิวิตอยู่แม้ผู้ตายจะมีทายาทโดยธรรมในลำดับใดก็ตาม  คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกเสมอ  แต่ต้องแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรส  จากนั้นนำสินสมรสในส่วนของผู้ตายไปแบ่งในระหว่างทายาทตามหลักเกณฑ์  ดังนี้
          2.1  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่  1  (ผู้สืบสันดาน)  คู่สมรสจะมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตรของผู้ตาย
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม  มีเงินอยู่ก่อนตาย  20,000  บาท  มีบุตร  1  คน  ภริยาและบุตรของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกคนละ  10,000  บาท
          2.2  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่  2  (บิดามารดา)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  3  (พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกครึ่งหนึ่ง
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินอยู่ก่อนตาย  600,000  บาท  บิดามารดาของนาย  ก  ยังมีชีวิตอยู่  ภริยาของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกครึ่งหนึ่ง  คือ  จำนวน  300,000  บาท  ส่วนบิดามารดาของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกคนละ  150,000  บาท
          2.3  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  4  (พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  5  (ปู่  ย่า  ตา  ยาย)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  6  (ลุง  ป้า  น้า  อา) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดก  2  ใน  3  ส่วน
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  ตายโดยไม่ทำพินัยกรรม  มีเงินอยู่ก่อนตาย  900,000  บาท  มีพี่ร่วมบิดา  1  คน  น้องร่วมมารดา  1  คน  ภริยาของนาย  ก  มีสิทธิได้รับเงินมรดก  2  ใน  3  ส่วน  คือ  600,000  บาท  ส่วนพี่ร่วมบิดาและน้องร่วมมารดาของนาย  ก  ได้รับเงินมรดกคนละ  150,000  บาท
          2.4  ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทโดยธรรมอยู่เลย  คงมีแต่คู่สมรส  มรดกทั้่งหมดตกแก่คู่สมรสแต่เพียงผู้เดียว
          3.  กรณีมีทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกันหลายคน  ให้ทายาทโดยธรรมเหล่านั้นได้รับมรดกคนละส่วนเท่า ๆ กัน
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินมรดก  40,000  บาท  มีลุง  1  คน  ป้า  1  คน  น้า  1  คน  และอา  1  คน  แต่ละคนมีสิทธิได้รับเงินมรดกของนาย  ก  คนละ  10,000  บาท
          4.  กรณีมีผู้สืบสันดานหลายชั้นในระหว่างทายาทโดยธรรมลำดับที่  1  ผู้สืบสันดานชั้นที่ใกล้ชิดเจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิในมรดก  ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะมีสิทธิได้รับมรดกก็แต่เฉพาะการรับมรดกแทนที่
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินมรดก  400,000  บาท  มีลูก  1  คน  คือ  นายดำ และนายดำมีลูก  1  คน  คือนายขาว  แต่นายดำถึงแก่ความตายก่อน  นาย  ก  เงินมรดกจำนวน  400,000  บาท  จึงตกทอดแก่นายขาว  ซึ่งเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายดำ
          5.  ผู้สืบสันดาน  หมายถึง  บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ถ้าบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
            ใครมีสิทธิรับมรดก
         กฎหมายบัญญัติให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเท่านั้น  จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาต่อเมื่อ  บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง  หรือบิดาได้จดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร  หรือศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรของบิดา  หรือบิดาให้การรับรองด้วยการให้การอุปการะเลี้ยงดู  ให้การศึกษา  ให้ใช้นามสกุล  จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามกฎหมายด้วย  นอกจากนี้  บุตรบุญธรรมตามกฎหมายก็มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ด้วยเช่นกัน
            การร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
         เมื่อมีเหตุข้อขัดข้องที่ไม่อาจโดนมรดกได้  ทายาทของเจ้ามรดกหรือพนักงานอัยการ  อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมลำเนาในขณะที่ถึงแก่ความตาย  เพื่อขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้
          กรณีที่จะให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องให้นั้น  ให้ผู้ร้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
          ทะเบียนบ้านของเจ้ามรดก
          ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก
          ใบสำคัญการสมรสของเจ้ามรดก
          เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
         เช่น  โฉนดที่ดิน  น.ส.๓ ก.  ทะเบียนรถ  บัญชีเงินฝากฯ  ทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องและทายาททุกคน
          ใบเปลี่ยนชื่อ - นามสกุลของเจ้ามรดกและผู้จัดการมรดก
       ถ่ายเอกสารตามที่กล่าวข้างต้น  โดยรับรองสำเนาเอกสารจำนวน  3  ชุด  พร้อมนำทายาทไปลงชื่อให้ความยินยอมในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อหน้าพนักงานอัยการได้ที่  สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิประชาชนประจำจังหวัดหรือสาขา  (สคช.จังหวัดหรือสาขา) จังหวัดที่เจ้ามรดก  (ผู้ตาย)  มีภูมิลำเนาอยู่  ในขณะที่ถึงแก่ความตาย
ที่มา:http://www.ts.ago.go.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น