แปลภาษา

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สิทธิในการรับมรดก


         มรดก  คือ  ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย  เช่น  ที่ดิน  บ้าน  รถยนต์  เครื่องเพชรเงินในธนาคาร  ตลอดจนสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ  เช่น  ภาระจำยอม  สิทธิจำนอง  สิทธิในเครื่องหมายการค้าสิทธิเรียกร้องต่างๆ เช่น  สิทธิเรียกร้องในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืม  เว้นแต่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้  เช่น  สิทธิตามสัญญาเช่า  กรณีผู้เช่าตาย  ถือว่าสัญญาเช่าย่อมระงับสิ้นสุดลง
         ที่สำคัญทรัพย์สินที่จะเป็นมรดกได้นั้น  ต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตายด้วย  ดังนั้น  เงินบำนาญซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตาย  จึงไม่เป็นมรดกตามกฎหมาย
          มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด
         มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายอาจจะเป็นการตายโดยเสียชีวิต  หรือตายโดยผลของกฎหมาย  คือ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญก็ได้  กองมรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย  เรียกว่า  ทายาทโดยธรรม  มี 6 ลำดับ  ดังนี้
          ใครมีสิทธิรับมรดก
          ผู้สืบสันดาน  ได้แก่  ลูกหลาน  เหลน  ลื้อ
          บิดามารดา
          พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
          พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
          ปู่  ย่า  ตา  ยาย
          ลุง  ป้า  น้า  อา
          คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และยังมีชีวิตอยู่  ถือเป็นทายาทโดยธรรมด้วย
         หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดไว้  มรดกย่อมตกทอดแก่ผู้นั้น  เรียกว่า  ผู้รับพินัยกรรม
          การแบ่งมรดกของทายาทโดยธรรม  ในลำดับและชั้นต่างๆ
         1.  ถ้าเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมในลำดับชั้นต่าง ๆ หลายชั้น  ผู้มีสิทธิรับมรดก  ได้แก่  ทายาทโดยธรรมในลำดับต้น  ส่วนทายาทลำดับรองลงมาไม่มีสิทธิรับมรดก  ยกเว้น  กรณีผู้ตายมีทายาทโดยธรรมทั้งลำดับที่ 1  และ 2  (ผู้สืบสันดานและบิดามารดา) กฎหมายบัญญัติให้บิดาและมารดามีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย
          ตัวอย่าง  นาย ก  ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมมีเงินอยู่ก่อนตาย  จำนวน  40,000  บาท  มีบุตร  2  คน  คือ  นายเขียว  และนายขาว  และบิดามารดาของนาย  ก  ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองคน  คือ  นายสีและนางสม  และยังมีปู่  ย่า  ตา  ยาย  และลุง  ป้า  น้า  อา  ด้วย  ผู้มีสิทธิรับมรดกจำนวน  40,000  บาท  ของนาย  ก  ได้แก่  นายเขียวกับนายขาว  ในฐานะทายาทลำดับที่  1  และนายสีกับนางสมในฐานะทายาทลำดับที่  2  ซึ่งมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตร  เป็นจำนวนเงินคนละ  10,000  บาท  ส่วนปู่  ย่า  ตา  ยาย  และลุง  ป้า  น้า  อา  นั้น  เป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่  5  และ  6  ซึ่งอยู่ลำดับหลังจึงไม่มีสิทธิได้รับมรดก
          2.  กรณีผู้ตายมีคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และยังมีชิวิตอยู่แม้ผู้ตายจะมีทายาทโดยธรรมในลำดับใดก็ตาม  คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกเสมอ  แต่ต้องแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรส  จากนั้นนำสินสมรสในส่วนของผู้ตายไปแบ่งในระหว่างทายาทตามหลักเกณฑ์  ดังนี้
          2.1  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่  1  (ผู้สืบสันดาน)  คู่สมรสจะมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตรของผู้ตาย
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม  มีเงินอยู่ก่อนตาย  20,000  บาท  มีบุตร  1  คน  ภริยาและบุตรของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกคนละ  10,000  บาท
          2.2  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่  2  (บิดามารดา)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  3  (พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกครึ่งหนึ่ง
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินอยู่ก่อนตาย  600,000  บาท  บิดามารดาของนาย  ก  ยังมีชีวิตอยู่  ภริยาของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกครึ่งหนึ่ง  คือ  จำนวน  300,000  บาท  ส่วนบิดามารดาของนาย  ก  จะได้รับเงินมรดกคนละ  150,000  บาท
          2.3  ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  4  (พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  5  (ปู่  ย่า  ตา  ยาย)  หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่  6  (ลุง  ป้า  น้า  อา) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดก  2  ใน  3  ส่วน
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  ตายโดยไม่ทำพินัยกรรม  มีเงินอยู่ก่อนตาย  900,000  บาท  มีพี่ร่วมบิดา  1  คน  น้องร่วมมารดา  1  คน  ภริยาของนาย  ก  มีสิทธิได้รับเงินมรดก  2  ใน  3  ส่วน  คือ  600,000  บาท  ส่วนพี่ร่วมบิดาและน้องร่วมมารดาของนาย  ก  ได้รับเงินมรดกคนละ  150,000  บาท
          2.4  ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทโดยธรรมอยู่เลย  คงมีแต่คู่สมรส  มรดกทั้่งหมดตกแก่คู่สมรสแต่เพียงผู้เดียว
          3.  กรณีมีทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกันหลายคน  ให้ทายาทโดยธรรมเหล่านั้นได้รับมรดกคนละส่วนเท่า ๆ กัน
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินมรดก  40,000  บาท  มีลุง  1  คน  ป้า  1  คน  น้า  1  คน  และอา  1  คน  แต่ละคนมีสิทธิได้รับเงินมรดกของนาย  ก  คนละ  10,000  บาท
          4.  กรณีมีผู้สืบสันดานหลายชั้นในระหว่างทายาทโดยธรรมลำดับที่  1  ผู้สืบสันดานชั้นที่ใกล้ชิดเจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิในมรดก  ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะมีสิทธิได้รับมรดกก็แต่เฉพาะการรับมรดกแทนที่
          ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  มีเงินมรดก  400,000  บาท  มีลูก  1  คน  คือ  นายดำ และนายดำมีลูก  1  คน  คือนายขาว  แต่นายดำถึงแก่ความตายก่อน  นาย  ก  เงินมรดกจำนวน  400,000  บาท  จึงตกทอดแก่นายขาว  ซึ่งเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายดำ
          5.  ผู้สืบสันดาน  หมายถึง  บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ถ้าบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
            ใครมีสิทธิรับมรดก
         กฎหมายบัญญัติให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเท่านั้น  จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาต่อเมื่อ  บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง  หรือบิดาได้จดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร  หรือศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรของบิดา  หรือบิดาให้การรับรองด้วยการให้การอุปการะเลี้ยงดู  ให้การศึกษา  ให้ใช้นามสกุล  จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามกฎหมายด้วย  นอกจากนี้  บุตรบุญธรรมตามกฎหมายก็มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ด้วยเช่นกัน
            การร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
         เมื่อมีเหตุข้อขัดข้องที่ไม่อาจโดนมรดกได้  ทายาทของเจ้ามรดกหรือพนักงานอัยการ  อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมลำเนาในขณะที่ถึงแก่ความตาย  เพื่อขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้
          กรณีที่จะให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องให้นั้น  ให้ผู้ร้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
          ทะเบียนบ้านของเจ้ามรดก
          ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก
          ใบสำคัญการสมรสของเจ้ามรดก
          เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
         เช่น  โฉนดที่ดิน  น.ส.๓ ก.  ทะเบียนรถ  บัญชีเงินฝากฯ  ทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องและทายาททุกคน
          ใบเปลี่ยนชื่อ - นามสกุลของเจ้ามรดกและผู้จัดการมรดก
       ถ่ายเอกสารตามที่กล่าวข้างต้น  โดยรับรองสำเนาเอกสารจำนวน  3  ชุด  พร้อมนำทายาทไปลงชื่อให้ความยินยอมในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อหน้าพนักงานอัยการได้ที่  สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิประชาชนประจำจังหวัดหรือสาขา  (สคช.จังหวัดหรือสาขา) จังหวัดที่เจ้ามรดก  (ผู้ตาย)  มีภูมิลำเนาอยู่  ในขณะที่ถึงแก่ความตาย
ที่มา:http://www.ts.ago.go.th/

ความผิดที่ประชาชนสามารถจับผู้กระทำความผิดได้ 

ภาพจากhttp://www.softbizplus.com

ประชาชนธรรมดา
จะจับกุมผู้กระทำผิดได้หรือไม่

โดยปกติแล้วการจับกุมผู้กระทำผิดนั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งคำว่า เจ้าพนักงานที่ว่า
นี้มีความหมายกว้างขึ้นอยู่กับกฎหมาย ในแต่ละเรื่องนั้นจะบัญญัติให้ใครเป็นเจ้าพนักงาน เช่นเจ้าหน้าที่
ศุลกากรเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายศุลกากร มีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมความผิดเกี่ยวกับการขนสินค้าหนี
ภาษี เจ้าหน้าที่สรรพสามิตเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายสรรพสามิต มีอำนาจหน้าที่จับกุมความผิดเกี่ยวกับ
สรรพสามิต ฯลฯ เป็นต้น ส่วนตำรวจ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ นั้น จัดอยู่ในประเภทพนักงานฝ่ายปกครองมี
อำนาจหน้าที่จับกุมความผิดได้ทุกประเภท แม้ว่าความผิดนั้นๆ จะมีเจ้าพนักงานโดยเฉพาะอยู่แล้วก็ตาม เช่น
ความผิดตามกฎหมายศุลกากร กฎหมายสรรพสามิต ตำรวจ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ก็ยังมีอำนาจหน้าที่ในการ
จับกุมได้
สำหรับประชาชนหรือที่เรียกว่าราษฎรธรรมดานั้น โดยปกติไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการจับกุมผู้ใด
ได้ เพราะประชาชนธรรมดาไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน
แต่อย่างไรก็ดีกฎหมายไม่ได้ห้ามเด็ดขาดตายตัวว่ามิให้ประชาชนธรรมดาจับกุมผู้กระทำผิดโดยสิ้น
เชิงบทบัญญัติที่เป็นข้อยกเว้นไว้ให้ประชาชนธรรมดามีอำนาจที่จะจับกุมผู้กระทำผิดได้เฉพาะในบางกรณีดังต่อ
ไปนี้เท่านั้น
. เมื่อเจ้าพนักงานร้องขอให้ช่วยจับ
กรณีนี้จะต้องเป็นเรื่องที่มีหมายจับอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานใดก็ตามและเจ้าพนักงานผู้มีหน้า
ที่จัดการตามกฎหมายหรือจับตามหมายจับนั้นได้ร้องขอให้ประชาชนธรรมดาช่วยจับกุมผู้กระทำผิดที่หมายจับ
ระบุไว้ ข้อนี้ต้องพึงระวังให้ดีว่าถ้าเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานจะจับกุมโดยไม่มีหมายจับแม้เจ้าพนักงานจะร้องขอ
ให้ประชาชนธรรมดาช่วยจับ ประชาชนธรรมดาก็ไม่มีอำนาจในการจับกุม
มีข้อสังเกตว่าคำร้องขอของเจ้าพนักงานเช่นนี้ไม่ถือเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานดังนั้น ประชาชนผู้ได้
รับคำร้องขอจะปฏิบัติตามคำร้องขอนั้นหรือไม่ก็ได้
. เมื่อพบการกระทำผิดซึ่งหน้าเฉพาะความผิดประเภทที่กฎหมายระบุไว้
กรณีนี้ประชาชนผู้พบการกระทำผิดนั้นสามารถเข้าทำการจับกุมได้ทันทีโดยไม่ต้องคอยให้เจ้า
พนักงานร้องขออย่างไรก็ดีอำนาจในการจับกุมของประชาชนธรรมดาตามข้อ นี้ค่อนข้างจะมีขอบเขตจำกัด
อยู่เฉพาะแต่ความผิดประเภทที่ระบุไว้ในท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่านั้นและต้องเป็นกรณี
ที่พบการกระทำผิดซึ่งหน้าอีกด้วย ซึ่งเงื่อนไขข้อนี้นับว่าเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่เคยเรียนกฎหมาย
มาก่อนเพราะจะไม่ทราบความหมายแค่ไหน เพราะถ้อยคำนี้เป็นคำทางกฎหมาย ซึ่งมีความหมายเฉพาะไม่จำ
เป็นต้องนำมาเขียนในที่นี้ แต่จะขอนำเอาความผิดซึ่งหน้าที่ระบุอยู่ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญาเฉพาะที่พบอยู่เสมอเพื่อเป็นแนวทางในการจดจำ
􀁓 ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
􀁓 ความผิดฐานหลบหนีจากที่คุมขัง
􀁓 ความผิดต่อศาสนา
􀁓 ความผิดปลอมแปลงเงินตรา
􀁓 การก่อการจลาจล
􀁓 ข่มขืนกระทำชำเรา
􀁓 ทำร้ายร่างกาย
􀁓 ฆ่าคนตาย
􀁓 หน่วงเหนี่ยวกักขัง
􀁓 ลักทรัพย์
􀁓 วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ กรรโชกทรัพย์
. เมื่อประชาชนผู้เป็นนายประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้หลบหนี้ประกัน หรือจะหลบหนี
ประกัน
โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานให้จับกุมได้ทันท่วงทีเท่านั้น
การจับกุมประชาชนธรรมดา ตามที่กล่าวมาทั้ง กรณีนี้เป็นเพียงอำนาจตามกฎหมาย ที่จะจับกุม
ได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ และถ้าเป็นกรณีอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ประชาชนธรรมดาก็
ไม่มีอำนาจทำการ จับกุมผู้กระทำผิดได้เลย
ผลทางกฎหมาย
กรณีที่ประชาชนธรรมดามีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุมผู้กระทำความผิดได้ดังกล่าวมาในข้อ -
นี้ ประชาชนผู้ทำการจับกุมย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเช่น ไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้ถูกจับเสื่อมเสีย
อิสรภาพเสรีภาพหรือหากผู้จะถูกจับนั้นต่อสู้ขัดขวางประชาชนผู้จับก็มีอำนาจใช้กำลังป้องกันตนได้พอสมควร
แก่เหตุ
ในทำนองกลับกัน ถ้าเป็นกรณีไม่มีอำนาจจับกุมได้ตามกฎหมาย ผู้จับก็ต้องมีความผิดฐาน ทำให้
เสื่อมเสียเสรีภาพ และอาจมีความผิดฐานอื่นติดตามมากมาย เช่น บุกรุก ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ เป็นต้น

ฎีกาคดีตามพรบจราจร ประมาทที่ศาลรอการลงโทษ



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7352/2549
นอกจากจำเลยทั้งสองจะขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงลงจากสะพานแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ขับรถโดยฝ่าฝืนกฎจราจรอื่น หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ร่วมใช้เส้นทางในการประการอื่นอีก ทั้งจุดที่เกิดการชนกันก็เป็นบริเวณช่องเดินรถตามปกติของจำเลยทั้งสองและเกิดขึ้นขณะที่ผู้ตายกำลังข้ามถนนในช่วงที่รถยนต์กำลังแล่นอยู่ ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุแม้จะมีไฟฟ้าสาธารณะแต่ก็มีแสงสว่างค่อนข้างสลัว ดังนั้นแม้จะเกิดเหตุด้วยความประมาทของจำเลยทั้งสอง แต่ก็เป็นความประมาทที่ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาความเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายด้วยการชดใช้เงินให้บางส่วนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีจึงมีเหตุสมควรปราณีโดยการรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินแก่ฝ่ายผู้เสียหายจำนวน 30,000 บาท และจำเลยที่ 1 มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง กับมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาโดยให้รอการลงโทษไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157
      จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
     ระหว่างพิจารณา นางแฉล้ม มารดาของนายวีระผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก ต้องอนุญาตเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย)
     ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ 15,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 7,500 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษมาก่อน หลังเกิดเหตุจำเลยทั้งสองสำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายหาเงินมาวางศาล เพื่อชดใช้ค่าเสียหายบางส่วนให้แก่ทายาทผู้ตาย จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
      โจทก์ร่วมอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกคนละ 2 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงให้จำเลยทั้งสองรับโทษไปโดยไม่รอการลงโทษ และไม่ลงโทษปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
      จำเลยที่ 2 ฎีกา
      ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า แม้การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุลงจากสะพานพระนั่งเกล้าด้วยความเร็วสูงชนผู้ตายจนถึงแก่ความตายจะเป็นการกระทำโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองซึ่งให้จำเลยทั้งสองดูแล้วไม่โต้แย้งคัดค้านว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนมีช่องเดินรถ 6 ช่อง แบ่งเป็นช่องเดินรถไปและกลับด้านละ 3 ช่องเดินรถ จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถช่องที่ 2 จากบางบัวทองมุ่งหน้าจะไปแคราย จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านแยกพระนั่งเกล้าโดยมีรถยนต์ตู้แล่นอยู่ด้านหน้าห่างจากรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ประมาณ 8 ถึง 9 เมตร จำเลยที่ 1 มองไม่เห็นผู้ตายยืนอยู่ช่วงกลางถนนแต่เห็นเงาตะคุ่มผ่านหน้ารถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ในระยะกระชั้นชิด และรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ได้ชนผู้ตายล้มลง ขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังจำเลยที่ 1 และเห็นจำเลยที่ 1 ชนผู้ตายล้มลงแต่จำเลยที่ 2 ห้ามล้อไม่ทันจึงทับผู้ตายซึ่งล้มลงอยู่กลางถนน จำเลยที่ 2 รอพบเจ้าหน้าที่ตรงจุดเกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 1 หมดสติ และมีผู้นำผู้ตายและจำเลยที่ 1 ส่งโรงพยาบาล ตามพฤติการณ์ดังกล่าว นอกจากจำเลยทั้งสองจะขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงขณะที่ลงจากสะพานแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ขับรถโดยฝ่าฝืนกฎจราจรหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ร่วมใช้เส้นทางในประการอื่นอีก ทั้งจุดที่เกิดการชนกันก็เป็นบริเวณช่องเดินรถตามปกติของจำเลยทั้งสองและเกิดขึ้นขณะที่ผู้ตายกำลังข้ามถนนในช่วงที่รถยนต์กำลังแล่นอยู่ ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุแม้จะมีไฟฟ้าสาธารณะแต่ก็มีแสงสว่างค่อนข้างสลัว ดังนั้นแม้จะเกิดเหตุด้วยความประมาทของจำเลยทั้งสองแต่ก็เป็นความประมาทที่ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาความเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายด้วยการชดใช้เงินให้บางส่วนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยที่ 2 มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง และมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว กรณีจึงมีเหตุสมควรปรานีโดยการรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินแก่ฝ่ายผู้เสียหายจำนวน 30,000 บาท และจำเลยที่ 1 มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งกับมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาโดยให้รอการลงโทษไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้จำเลยทั้งสองเข็ดหลาบ จึงสมควรลงโทษปรับจำเลยทั้งสองอีกสถานหนึ่ง และกำหนดมาตรการในการคุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้ด้วย
     พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 15,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับคนละ 7,500 บาท สำหรับโทษจำคุกของจำเลยทั้งสองให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง ให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง มีกำหนดคนละ 2 ปี กับให้จำเลยทั้งสองกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยทั้งสองและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนดคนละ 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำ            พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.
        ประมวลกฎหมายอาญา
     มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท
          พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
     มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถ
(4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล หรือ ทรัพย์สิน (5)...
     มาตรา 157 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 35 มาตรา 43 (3) (4) (6) หรือ (7) มาตรา 45 มาตรา 46 มาตรา 47 มาตรา 48 มาตรา 53 มาตรา 65 วรรค 1 หรือ มาตรา 125 ต้องระวางโทษปรับ ตั้งแต่สี่ร้อยบาทถึงหนึ่งพันบาท