สิทธิในการรับมรดก
มรดก คือ
ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย
เช่น ที่ดิน บ้าน
รถยนต์
เครื่องเพชรเงินในธนาคาร
ตลอดจนสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ
เช่น ภาระจำยอม สิทธิจำนอง
สิทธิในเครื่องหมายการค้าสิทธิเรียกร้องต่างๆ เช่น
สิทธิเรียกร้องในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืม เว้นแต่ตามกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ เช่น
สิทธิตามสัญญาเช่า
กรณีผู้เช่าตาย
ถือว่าสัญญาเช่าย่อมระงับสิ้นสุดลง
ที่สำคัญทรัพย์สินที่จะเป็นมรดกได้นั้น
ต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตายด้วย ดังนั้น
เงินบำนาญซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ตาย จึงไม่เป็นมรดกตามกฎหมาย
มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด
มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายอาจจะเป็นการตายโดยเสียชีวิต หรือตายโดยผลของกฎหมาย คือ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญก็ได้ กองมรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า
ทายาทโดยธรรม มี 6 ลำดับ ดังนี้
ใครมีสิทธิรับมรดก
ผู้สืบสันดาน ได้แก่
ลูกหลาน เหลน ลื้อ
บิดามารดา
พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
ปู่
ย่า ตา ยาย
ลุง
ป้า น้า อา
คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย และยังมีชีวิตอยู่ ถือเป็นทายาทโดยธรรมด้วย
หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดไว้ มรดกย่อมตกทอดแก่ผู้นั้น เรียกว่า
ผู้รับพินัยกรรม
การแบ่งมรดกของทายาทโดยธรรม ในลำดับและชั้นต่างๆ
1.
ถ้าเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมในลำดับชั้นต่าง ๆ หลายชั้น ผู้มีสิทธิรับมรดก ได้แก่
ทายาทโดยธรรมในลำดับต้น
ส่วนทายาทลำดับรองลงมาไม่มีสิทธิรับมรดก
ยกเว้น
กรณีผู้ตายมีทายาทโดยธรรมทั้งลำดับที่ 1
และ 2 (ผู้สืบสันดานและบิดามารดา)
กฎหมายบัญญัติให้บิดาและมารดามีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย
ตัวอย่าง นาย ก
ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมมีเงินอยู่ก่อนตาย
จำนวน 40,000 บาท
มีบุตร 2 คน
คือ นายเขียว และนายขาว
และบิดามารดาของนาย ก ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองคน คือ
นายสีและนางสม และยังมีปู่ ย่า
ตา ยาย และลุง
ป้า น้า อา
ด้วย ผู้มีสิทธิรับมรดกจำนวน 40,000
บาท ของนาย ก
ได้แก่ นายเขียวกับนายขาว ในฐานะทายาทลำดับที่ 1
และนายสีกับนางสมในฐานะทายาทลำดับที่
2
ซึ่งมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตร
เป็นจำนวนเงินคนละ 10,000 บาท
ส่วนปู่ ย่า ตา
ยาย และลุง ป้า
น้า อา นั้น
เป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 5 และ
6
ซึ่งอยู่ลำดับหลังจึงไม่มีสิทธิได้รับมรดก
2.
กรณีผู้ตายมีคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย
และยังมีชิวิตอยู่แม้ผู้ตายจะมีทายาทโดยธรรมในลำดับใดก็ตาม คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกเสมอ
แต่ต้องแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรส
จากนั้นนำสินสมรสในส่วนของผู้ตายไปแบ่งในระหว่างทายาทตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.1
ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่
1 (ผู้สืบสันดาน) คู่สมรสจะมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนหนึ่งว่าเป็นบุตรของผู้ตาย
ตัวอย่างเช่น นาย
ก ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม มีเงินอยู่ก่อนตาย 20,000
บาท มีบุตร 1 คน ภริยาและบุตรของนาย ก
จะได้รับเงินมรดกคนละ 10,000 บาท
2.2
ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมในลำดับที่
2 (บิดามารดา) หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่ 3
(พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกครึ่งหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น นาย
ก มีเงินอยู่ก่อนตาย 600,000
บาท บิดามารดาของนาย ก
ยังมีชีวิตอยู่ ภริยาของนาย ก
จะได้รับเงินมรดกครึ่งหนึ่ง
คือ จำนวน 300,000
บาท ส่วนบิดามารดาของนาย ก
จะได้รับเงินมรดกคนละ 150,000 บาท
2.3
ถ้าผู้ตายมีทายาทโดยธรรมลำดับที่
4
(พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน)
หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่ 5 (ปู่
ย่า ตา ยาย) หรือมีทายาทโดยธรรมลำดับที่ 6
(ลุง ป้า น้า
อา) คู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดก
2 ใน 3 ส่วน
ตัวอย่างเช่น นาย
ก ตายโดยไม่ทำพินัยกรรม มีเงินอยู่ก่อนตาย 900,000
บาท มีพี่ร่วมบิดา 1 คน น้องร่วมมารดา
1 คน ภริยาของนาย
ก มีสิทธิได้รับเงินมรดก 2
ใน 3 ส่วน
คือ 600,000 บาท
ส่วนพี่ร่วมบิดาและน้องร่วมมารดาของนาย
ก ได้รับเงินมรดกคนละ 150,000
บาท
2.4
ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทโดยธรรมอยู่เลย
คงมีแต่คู่สมรส
มรดกทั้่งหมดตกแก่คู่สมรสแต่เพียงผู้เดียว
3.
กรณีมีทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกันหลายคน
ให้ทายาทโดยธรรมเหล่านั้นได้รับมรดกคนละส่วนเท่า ๆ กัน
ตัวอย่างเช่น นาย
ก มีเงินมรดก 40,000
บาท มีลุง 1
คน ป้า 1
คน น้า 1
คน และอา 1
คน
แต่ละคนมีสิทธิได้รับเงินมรดกของนาย
ก คนละ 10,000
บาท
4.
กรณีมีผู้สืบสันดานหลายชั้นในระหว่างทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1
ผู้สืบสันดานชั้นที่ใกล้ชิดเจ้ามรดกเท่านั้นที่มีสิทธิในมรดก
ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะมีสิทธิได้รับมรดกก็แต่เฉพาะการรับมรดกแทนที่
ตัวอย่างเช่น นาย
ก มีเงินมรดก 400,000
บาท มีลูก 1
คน คือ นายดำ และนายดำมีลูก 1
คน คือนายขาว แต่นายดำถึงแก่ความตายก่อน นาย
ก เงินมรดกจำนวน 400,000
บาท จึงตกทอดแก่นายขาว ซึ่งเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายดำ
5.
ผู้สืบสันดาน หมายถึง บุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ใครมีสิทธิรับมรดก
กฎหมายบัญญัติให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเท่านั้น
จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาต่อเมื่อ บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร หรือศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรของบิดา
หรือบิดาให้การรับรองด้วยการให้การอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา
ให้ใช้นามสกุล
จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามกฎหมายด้วย
นอกจากนี้
บุตรบุญธรรมตามกฎหมายก็มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ด้วยเช่นกัน
การร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
เมื่อมีเหตุข้อขัดข้องที่ไม่อาจโดนมรดกได้
ทายาทของเจ้ามรดกหรือพนักงานอัยการ
อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมลำเนาในขณะที่ถึงแก่ความตาย เพื่อขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้
กรณีที่จะให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องให้นั้น ให้ผู้ร้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
ทะเบียนบ้านของเจ้ามรดก
ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก
ใบสำคัญการสมรสของเจ้ามรดก
เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
เช่น โฉนดที่ดิน
น.ส.๓ ก. ทะเบียนรถ บัญชีเงินฝากฯ
ทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องและทายาททุกคน
ใบเปลี่ยนชื่อ -
นามสกุลของเจ้ามรดกและผู้จัดการมรดก
ถ่ายเอกสารตามที่กล่าวข้างต้น โดยรับรองสำเนาเอกสารจำนวน 3 ชุด พร้อมนำทายาทไปลงชื่อให้ความยินยอมในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อหน้าพนักงานอัยการได้ที่
สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิประชาชนประจำจังหวัดหรือสาขา (สคช.จังหวัดหรือสาขา) จังหวัดที่เจ้ามรดก (ผู้ตาย)
มีภูมิลำเนาอยู่
ในขณะที่ถึงแก่ความตาย
ที่มา:http://www.ts.ago.go.th/